- เราคิดว่าการบริโภคน้ำตาลของไทยควรถึงจุดสูงสุดแล้ว
- มีผลกระทบเชิงลบอย่างมากจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด
- จากที่กระทรวงสรรพสามิตของไทยได้ชะลอการขึ้นภาษีน้ำตาลที่วางแผนไว้ในเดือนหน้า เราตรวจสอบว่าการบริโภคเปลี่ยนไปอย่างไร
การบริโภคน้ำตาลลดลง
โควิด-19 ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อพฤติกรรมผู้บริโภค และจากการพิจารณาเบื้องต้น ดูเหมือนว่าโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการบริโภคน้ำตาลของไทย ซึ่งการบริโภคน้ำตาลต่อหัวของประเทศไทยลดลงในปี 2563 หลังจากช่วงที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ปี 2558
ด้วยระดับการบริโภคที่กลับมาเทียบเท่ากับปี 2553 และ 2554 คำถามก็คือโควิด-19 ทำให้การบริโภคลดลงหรือไม่ หรือทำให้แนวโน้มที่มีอยู่ตกลงไปอีก
อีกคำถามหนึ่งคือระดับการบริโภคจะกลับมาที่ระดับสูงสุดก่อนหน้าหรือไม่
จากแผนภูมิข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าการบริโภคต่อหัวลดลงเล็กน้อยระหว่างปี 2561 ถึง 2563 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นเพราะโควิด-19
ทั้งหมดและบางทีการลดลงนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์การลดน้ำตาลที่แพร่หลายในประเทศไทย
การท่องเที่ยวของไทยลดลง
แน่นอนว่าคำอธิบายแรกที่ควรคำนึงถึงเมื่อเรามองดูการลดลงของปี 2563 คือการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และผลกระทบที่เกี่ยวข้อง
ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีสัดส่วนถึงหนึ่งในห้าของ GDP ของประเทศตามข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
เนื่องจากข้อจำกัดของการเดินทางทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ GDP ของไทยลดลง 6.1%
จากช่วงเศรษฐกิจที่ซบเซาในที่พัก ศิลปะ นันทนาการและความบันเทิง และการขนส่ง
มีการประมาณการไว้ว่า 21% จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม โดยการใช้จ่ายในปี 2562 ประมาณ 3 ล้านล้านบาท (91.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็น 19.2 ล้านดอลลาร์หรัฐในภาคอาหารและเครื่องดื่ม
ตัวเลขแสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเหลือ 6.7 ล้านคนในปี 2563 จาก 39.8 ล้านคนในปี 2562
ซึ่งข้อจำกัดในการเดินทางมีผลกระทบต่อการบริโภคน้ำตาลอย่างไม่ต้องสงสัย
ปัจจัยเบื้องหลังการขับเคลื่อนการบริโภคน้ำตาล
การบริโภคน้ำตาลส่วนมากถูกขับเคลื่อนจากการเติบโตของประชากร การขยายตัวของเมือง ความมั่งคั่งและรายได้ที่ใช้จ่ายได้ที่เพิ่มขึ้น
เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ประเทศต่างๆจะต้องลงทะเบียนการบริโภคน้ำตาลที่สูงขึ้น (แม้ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีการบริโภคน้ำตาลต่อหัวสูงขึ้นก็ตาม)
โดยทั่วไปการขยายตัวของเมืองและรายได้ที่ใช้จ่ายได้ที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันความต้องการอาหารสะดวกซื้อที่ให้พลังงานสูงและมีปริมาณมากขึ้น
สถานการณ์ของไทย
ในประเทศไทยการบริโภคน้ำตาลโตเต็มที่แล้วที่ 30 กก. ต่อคนต่อปี
เมื่อพิจารณาถึงน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ (ซึ่งต่างจากสารให้ความหวานแทนน้ำตาล) ภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือเครื่องดื่ม แต่ผลไม้และผลิตภัณฑ์จากนมก็มีสัดส่วนในปริมาณที่มากเช่นกัน แต่ผลไม้และผลิตภัณฑ์จากนมก็มีสัดส่วนในปริมาณที่มากเช่นกัน
ภาษีน้ำตาล
ภาษีน้ำตาลของประเทศไทยที่บังคับใช้ในปี 2560 มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการบริโภคน้ำตาลโดยในขณะเดียวกันก็สร้างเงินทุนสำหรับกองทุนรัฐบาล
ภาษีน้ำตาลประกอบไปด้วยสององค์ประกอบ: อัตราตามมูลค่าและอัตราตามลำดับโดยคิดเป็นบาท/ลิตร ตามปริมาณน้ำตาลในหน่วยกรัม/ลิตร
จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทุกๆสองปี การเพิ่มขึ้นครั้งต่อไปถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม
แต่ถูกชะลอออกไปหนึ่งปีเนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19
การเปลี่ยนแปลงในเดือนตุลาคม 2565 จะเพิ่มอัตราตามลำดับชั้นสำหรับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัมต่อ 100 มล.
ไม่ว่าเครื่องดื่มนั้นจะมีน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไปหรือไม่ก็ตาม
ภาษีนี้มีการรวมกับอีกสองมาตรการ: การรณรงค์เพื่อการศึกษาที่เรียกว่า Fatless Belly Thais (FBT) และการห้ามซื้อขายน้ำอัดลมในโรงเรียน โปรแกรม FBT มุ่งเน้นไปที่ 3Es ได้แก่ การกิน (eating) การออกกำลังกาย (exercise) และการควบคุมอารมณ์ (emotional control)
ยังคงมีคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมาตรการเหล่านี้เช่นเดียวกับภาษีน้ำตาลทั้งหมด จากการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ดำเนินการในปี 2561 และ 2562 พบว่าภาษีเครื่องดื่มรสหวาน (SSB) ช่วยลดการบริโภคได้ แต่เฉพาะในประชากรบางกลุ่มเท่านั้นซึ่งประกอบไปด้วยผู้ชาย ผู้สูงอายุ ประชากรที่มีรายได้ต่ำและผู้ว่างงาน อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทุกกลุ่มครัวเรือนทางเศรษฐกิจและสังคมที่ศึกษา ซึ่งมีการตั้งคำถามว่าการบริโภคได้รับผลกระทบจากภาษีหรือจากสิ่งอื่น
ดูเหมือนว่าการบริโภคเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์จากผลไม้จะลดลงอย่างมากตั้งแต่ปี 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีที่กำหนดในปี 2560 นั้นไม่ได้จำแนกความแตกต่างระหว่างน้ำตาลที่ถูกเติมและน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยภาษีก็มีส่วนสำหรับการลดลงที่เกิดขึ้นในส่วนนี้
การปรับสูตร
แทนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค การบริโภคน้ำตาลที่ลดลงนี้อาจลดปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ลงได้ ก่อนการเรียกเก็บภาษีน้ำตาล
ผู้ผลิตน้ำอัดลมหลายรายที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้แก่ประเทศไทยได้ปรับสูตรใหม่ และได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าไปในพอร์ตของพวกเขา Tipico Foods, World Food International, Oishi Group,
Ichitan Group และ เสริมสุข มีการประกาศปรับสูตรและลดน้ำตาลในผลิตภัณฑ์บางอย่าง และแม้ว่า Nestlé และ PepsiCo Asia จะไม่ได้กำหนดสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ก็มีการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ปราศจากน้ำตาลใหม่เช่นกัน
แล้วอะไรเป็นสาเหตุของแนวโน้มขาลง? แน่นอนว่าคำอธิบายอย่างหนึ่งคือโควิด-19 แต่โควิด-19 ไม่สามารถอธิบายการลดลงที่เกิดขึ้นก่อนปี 2563
ได้คำอธิบายอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องสำหรับช่วงเวลานี้คือภาษีสำหรับเครื่องดื่มรสหวาน (SSB) ที่ถูกกำหนดในปี 2560 นั้นมีประสิทธิภาพอย่างมาก
โดยได้บังคับบางบริษัทให้มีการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลต่ำใหม่
การตระหนักถึงปริมาณน้ำตาลที่บริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากการขึ้นภาษีเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำอธิบายแต่แนวโน้มที่ใหญ่กว่านี้ดูเหมือนจะเกิดจากหนึ่งในประชากรสูงอายุ ที่การบริโภคน้ำตาลมีทางเลือกที่น้อยมาก นอกจากจะลดลง
การเติบโตของประชากรหยุดนิ่ง
แน่นอนว่าปัจจัยขับเคลื่อนการบริโภคอย่างหนึ่งคือจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่ข้อมูลจากประเทศไทยแสดงอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
สิ่งนี้สามารถนำมาเชื่อมโยงกับโครงการคุมกำเนิดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่ชื่อว่าโปรแกรมประชากร ซึ่งเริ่มต้นในปี 2513
โดยเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงมีลูกโดยเฉลี่ยหกคน รัฐบาลจึงได้เริ่มการรณรงค์ให้ความรู้อย่างกว้างขวางและส่งเสริมการใช้การคุมกำเนิดเป็นอย่างมาก
โปรแกรมนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากจนในวันนี้อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวม (TFR) ของผู้หญิงไทยคือ 1.51 ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงไทยมีบุตรโดยเฉลี่ย 1.51 คน ซึ่งต่ำกว่า “อัตราการทดแทน” ที่แนะนำสำหรับ 2.1 คนต่อคู่
การเติบโตของประชากรที่ไม่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อแนวโน้มการบริโภค
ด้วยการบริโภคน้ำตาลที่มีช่วงการเติบโตเพียงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดโดยอยู่ที่ประมาณ 37 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ทำให้มีที่ว่างสำหรับการบริโภคโดยรวมของประเทศที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหากประชากรยังคงลดลง
ประชากรผู้สูงอายุ
การอัตราการคลอดบุตรที่ลดลงยังนำไปสู่ประชากรโดยเฉลี่ยที่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับการบริโภคน้ำตาลที่มีแนวโน้มลดลงตามอายุ
จากการสำรวจทั่วโลกที่ดำเนินการโดย PLOS การบริโภคน้ำผลไม้และ SSB ลดลงทั่วโลกตามอายุ โดยมีการลดลงมากที่สุดหลังจากอายุ 40 ปี
และเมื่อแยกออกเป็นภูมิภาค แนวโน้มดังกล่าวก็เป็นจริงตามภูมิภาคต่างๆ
อายุเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 40.1 ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 29.6 ปีอย่างมาก
ประเทศไทยอยู่ในระดับสูงใกล้กับประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีอายุเฉลี่ยสูงสุดในโลกที่ 46.3 ปี
การที่ประชากรของประเทศไทยมีอายุมากขึ้นนั้นเป็นอุปสรรคต่อการบริโภคน้ำตาล และเมื่อรวมกับจำนวนประชากรที่ลดน้อยลงแล้ว
อาจช่วยอธิบายการลดลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2560 ได้
เมื่อประชากรเข้าสู่ชุมชนเมือง การบริโภคน้ำตาลก็เพิ่มขึ้น
สภาพแวดล้อมในเมืองส่งเสริมการบริโภคอาหารที่สะดวกและรวดเร็วเมื่อเทียบกับพื้นที่ในชนบท
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะต้องมีการวางแผนเรื่องอาหารและของว่างมากกว่า
ประเทศไทยได้ขยายตัวเป็นเมืองมาตั้งแต่ช่วงปี 2493 ตามด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากปี 2543 ปัจจุบันมีประชากรถึงเกือบ 60% ที่อาศัยอยู่ในเมือง เทียบกับเพียง 15% ในปี 2493
โดยปกติการใช้น้ำตาลในอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเมือง และนี่เป็นแนวโน้มโดยทั่วไปตั้งแต่ปี 2539
โดยน้ำตาลอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของน้ำตาลในอาหารไทยในปี 2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2539
ในบริบทนี้ การบริโภคน้ำตาลต่อหัวที่ลดลงเล็กน้อยของประเทศไทยดูน่าเป็นห่วง
แนวโน้มที่ต่อเนื่อง
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าโควิด-19 และข้อจำกัดต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการบริโภคน้ำตาลที่ลดลงในปี 2563
แต่คำถามที่แท้จริงก็คือการบริโภคน้ำตาลจะฟื้นตัวสู่ระดับที่สูงขึ้นหรือไม่เมื่อผลกระทบของการระบาดใหญ่ลดลง
ในขณะที่คาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นจากระดับของปี 2563 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว
ยังตงมีแนวโน้มว่าการบริโภคน้ำตาลของไทยจะหดตัวต่อไป
นโยบายการคุมกำเนิดในช่วงทศวรรษปี 2503 และ 2513 นั้นมีประสิทธิภาพสูงและผลกระทบของนโยบายนี้ไม่สามารถพลิกกลับได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งหมายความว่าประเทศกำลังเผชิญกับประชากรผู้สูงอายุและจำนวนที่ลดลง
ด้วยการบริโภคน้ำตาลที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าที่แนะนำและกฎหมายของรัฐบาลที่มุ่งเป้าไปที่สินค้าโภคภัณฑ์ การบริโภคต่อหัวที่เพิ่มขึ้นจึงไม่น่าเป็นไปได้
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ดูเหมือนว่าการบริโภคน้ำตาลของไทยจะถึงจุดที่มีการเติบโตเพียงเล็กน้อย
ในขณะนี้การเติบโตของการบริโภคน้ำตาลที่ชะลอตัวลงนั้นยังเร็วเกินไปที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาใดๆ ในสถิติด้านสุขภาพ เช่น
อัตราโรคอ้วนของไทย ซึ่งเราจะคอยติดตามดูสิ่งเหล่านี้เพื่อแนวโน้มใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ที่น่าสนใจคือการบริโภคน้ำตาลของไทยอาจลดลง ก่อนหน้านี้เราเขียนไปว่าการบริโภคน้ำตาลของเม็กซิโกกำลังลดลงอย่างแน่นอน
เราคิดว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการตระหนักครั้งใหม่ของโลกเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน
การบริโภคน้ำตาลต่อหัวที่ลดลงไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ของโลกที่พัฒนาแล้วเท่านั้น ใช่ มันเกิดขึ้นในประเทศอย่างสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการบริโภคน้ำตาลอาจลดลงในประเทศใดๆ ที่มีตลาดน้ำตาลที่โตเต็มที่หรือมีการบริโภคอาหารแปรรูปในสัดส่วนที่สูง
สิ่งนี้มีความหมายที่ค่อนข้างลึกซึ้งสำหรับผู้ผลิตน้ำตาลในหลายประเทศ เราจะทำการสำรวจประเทศเหล่านี้ต่อไปในอนาคต โดยจะเป็นบราซิลในครั้งต่อไป