- ในปี 2563 การบริโภคน้ำตาลของเม็กซิโกตกสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2557
- มูลค่าการขายน้ำอัดลมและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อื่นๆ ลดลงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในเม็กซิโก
- ดังนั้นความต้องการที่ลดลงไม่ได้เกิดจากโควิดเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นร่วมด้วย
ในปี 2563 การบริโภคน้ำตาลของเม็กซิโกตกสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2557 และการบริโภคต่อหัวก็ลดลงตามไปด้วย แต่มูลค่าการขายน้ำอัดลมและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อื่นๆ เริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมก่อนเกิดการระบาดใหญ่ในเม็กซิโก นี่แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่ลดลงไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดของโควิด-19 เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมาก
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าทำไมความต้องการจึงลดลงและกำหนดตัวบ่งชี้ที่เป็นไปได้ของความต้องการในอนาคต เราจะพิจารณาถึงปัจจัยที่มีบทบาทในแนวโน้มของการบริโภคและความต้องการน้ำตาลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ผู้บริโภคชาวเม็กซิกันมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง?
- แม้ว่าการบริโภคน้ำตาลโดยรวมในเม็กซิโกดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเมื่อโดยเทียบปีต่อปี แต่ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าการบริโภคนั้นลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2547
ที่น่าสนใจคือ การบริโภคน้ำตาลต่อหัวที่ตกลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการน้ำตาลไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในปีนี้ และความต้องการต่อหัวน่าจะทรงตัวในปีต่อๆไปที่ประมาณ 35 กก.
มีปัจจัยหลายประการที่อาจทำให้การบริโภคน้ำตาลลดลง ได้แก่ การใช้สารให้ความหวานที่เพิ่มขึ้น ภาษีน้ำตาลปี 2557 ของประเทศ การรณรงค์ให้ความรู้ และผลกระทบจากการล็อกดาวน์ของโควิด-19 ซึ่งเป็นไปได้ว่าปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันมีส่วนทำให้เกิดแนวโน้มที่ลดลง
น้ำตาลจะถูกแทนที่ด้วยน้ำเชื่อมฟรุกโตสเข้มข้นจากข้าวโพด (HFCS) หรือไม่?
ข้อโต้แย้งหนึ่งจากความต้องการน้ำตาลที่ลดลงคือผู้บริโภคมีการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมากขึ้น เช่น น้ำเชื่อมฟรุกโตสเข้มข้นจากข้าวโพด (HFCS) มากกว่าน้ำตาล ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการบริโภค HFCS เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 แม้ว่าจะแตะระดับสูงสุดในปี 2554 และลดลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เม็กซิโกผลิต HFCS เพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าแหล่งที่มาหลักคือการนำเข้าสารให้ความหวานจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2554 การนำเข้า HFCS จากสหรัฐฯ ในเม็กซิโกลดลงแม้ว่าจะยังคงสูงกว่า 800k ตันต่อปีก็ตาม ปี 2563 มีการนำเข้าในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2553 ที่ 842,000 ตัน ซึ่งในตอนแรกอาจชี้ให้เห็นว่าโควิดอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการ HFCS อย่างไรก็ตามข้อมูลการนำเข้าจากไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงให้เห็นว่าความต้องการยังคงลดลง โดยมีการนำเข้าในQ1’64 เพียง 165,207 ตัน ซึ่งลดลง 18% จาก Q1’63 และต่ำกว่า Q2’63, Q3’63 และ Q4’63 ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าความอยากอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือมีรสหวานของเม็กซิโกลดลงจริงตั้งแต่ปี 2554
ความต้องการน้ำอัดลมลดลง (จากจุดที่สูง)
Coca-Cola มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในเม็กซิโก ซึ่งจากการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้โดย Kantar Coca-Cola ได้รับคะแนนการเข้าถึงผู้บริโภค 1,529 คะแนน ซึ่งมากกว่าจำนวนของคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดอย่าง Laia ถึงสองเท่า และมากกว่าผู้ผลิตน้ำอัดลมรายอื่นๆอย่าง Pepsi ถึงหกเท่า ตัวเลขยอดขายจากบริษัทบรรจุขวด Coca-Cola FEMSA แสดงให้เห็นว่าปริมาณยอดขายกลุ่มลดลงตั้งแต่ปี 2561
มีการลดลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่สามและสี่ของปี 2563 ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับข้อจำกัดของโควิด-19 ในประเทศ การลดลงในไตรมาสที่สามที่สามารถเทียบกันได้ในระดับนี้คือในปี 2560 เมื่อรัฐปวยบลา โออาซากา เชียปัส และเกร์เรโร ประสบกับแผ่นดินไหวหลายครั้งที่มีขนาดถึง 8.1 ริกเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ
ข้อมูลจากหน่วยงานสถิติ INEGI แสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดแค่เพียง Coca-Cola FEMSA เท่านั้น ยอดขายน้ำอัดลมลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 และตัวเลขยอดขายปีต่อปียังคงลดลงตลอดทั้งปี 2563 แม้ว่าสิ่งนี้จะชี้ว่าข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับโควิดมีส่วนทำให้ยอดขายลดลง แต่ก็ไม่ได้อธิบายถึงความต้องการที่ลดลงตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีก
มีการบังคับใช้ภาษีน้ำตาลในปี 2557
ในปี 2557 ทางการเม็กซิโกได้มีการบังคับเก็บภาษีน้ำตาล 1 เปโซต่อลิตรสำหรับเครื่องดื่มรสหวาน (SSBs) ซึ่งเป็นการขึ้นราคา 10% โดยในปี 2562 ภาษีหรือ IEPS ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.17 เปโซต่อลิตรและขึ้นเป็น 1.27 เปโซต่อลิตรในปี 2563
ประสิทธิภาพของภาษีประเภทนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน จากงานวิจัยบางชิ้นพบว่าภาษีมีผลต่อการบริโภคน้ำตาลจาก SSBs ที่ลดลง โดยในปี 2557 ยอดขายจากSSBs ที่ต้องเสียภาษีลดลงโดยเฉลี่ย 6.1% และลดลงระหว่าง 9% ถึง 17% ในกลุ่มครัวเรือนทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีรายได้ต่ำ นอกเหนือจากยอดขาย SSBs ที่ลดลงแล้ว นักวิจัยยังพบว่ามีการซื้อเครื่องดื่มที่ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น 4% รวมไปถึงน้ำเปล่า อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่าการศึกษานี้ครอบคลุมเฉพาะปี 2557 เท่านั้น และยังไม่มีงานวิจัยที่บ่งชี้พฤติกรรมผู้บริโภคหลังจากช่วงเวลานี้
การศึกษาอื่นที่ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2563 พบว่าภาษี SSB ไม่มีผลต่อผู้ที่บริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพน้อยกว่าในกลุ่มประชากรที่มีอายุมาก และไม่บรรลุผลในการลดการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก การศึกษาระยะสั้นอีกฉบับหนึ่งในสหราชอาณาจักรพบว่าการเก็บภาษี SSBs เป็นจำนวนเงิน 0.10 ปอนด์ในเครือร้านอาหารแห่งหนึ่งสามารถช่วยลดการบริโภคเครื่องดื่มได้ แม้ว่าความสำเร็จนี้จะร่วมกับการติดฉลากที่ชัดเจนบนเมนูและการรณรงค์จากสื่อที่แพร่หลาย ภาษีที่คล้ายกันอย่างภาษีในอาหารอุดมไขมันถูกนำมาใช้ในเดนมาร์กในปี 2554 แต่มีการยกเลิกหลังจากผ่านไปเพียง 15 เดือน เนื่องจากมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภครับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากส่วนอื่นๆในงบประมาณของตนหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันที่มีราคาถูกกว่า
ข้อมูลยอดขายของ Coca-Cola จาก FEMSA แสดงให้เห็นว่ายอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ถึง 2559 ก่อนที่ตัวเลขจะเริ่มลดลงในปี 2561 อย่างไรก็ตามควรคำนึงว่าตัวเลขเหล่านี้รวมถึงน้ำอัดลมทั้งหมดไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล
รัฐบาลเม็กซิโกได้รณรงค์ต่อต้านการบริโภคน้ำตาล
รัฐบาลได้เปิดตัวการรณรงค์ต่อต้านการบริโภคน้ำตาลอย่างกว้างขวางโดยเป็นส่วนหนึ่งของการเก็บภาษีจาก SSBs การรณรงค์นี้มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการบริโภคน้ำตาลกับการลดลงของโรคเบาหวานประเภท 2
การศึกษาที่ดำเนินการโดยนักวิจัยที่ Autonomous Metropolitan University of Mexico (UNAM) พบว่าการโฆษณาด้านสุขภาพของรัฐบาลเกี่ยวกับโรคเบาหวานในปี 2554 นั้น “แทบไม่มีอยู่จริง” การศึกษายังพบว่าการให้ข้อมูลหรือคำแนะนำด้านสุขภาพจากโฆษณาที่มีนั้นไม่มีประสิทธิภาพ
ในปี 2555 Food Health Alliance ได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณาเกี่ยวกับการขนส่งสาธารณะในเม็กซิโกซิตี้เพื่อเตือนถึงความเสี่ยงของโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ในปี 2557 รัฐบาลยังได้เริ่มจำกัดโฆษณาทางทีวีสำหรับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและของว่างสำหรับเด็ก และในปี 2559 Food Health Alliance ได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ที่ชื่อว่า “อย่าทำร้ายหัวใจตัวเอง” โดยมีการโฆษณาที่โดดเด่นผ่านระบบขนส่งสาธารณะ ป้ายโฆษณา และเครือข่ายสังคมออนไลน์
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเม็กซิโก รวมทั้งประธานาธิบดี Andres Lopez Obrador มุ่งเป้าไปที่น้ำอัดลมอีกครั้ง รองปลัดกระทรวงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ Hugo Lopez-Gatell ตำหนิการบริโภคน้ำตาลของประเทศจากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19
มีการลงทุนภาคเอกชนในสาธารณูปโภคทางน้ำเพิ่มขึ้น (ที่ได้ลดลงตั้งแต่นั้นมา)
ในปี 2557 ประธานาธิบดีของเม็กซิโก Enrique Pena Nieto มีแพลตฟอร์มการรณรงค์ที่มุ่งเน้นไปที่การรวมภาคเอกชนในโครงการสาธารณูปโภคมากขึ้น โดยในปี 2557 ประธานาธิบดีได้วางแผนระบบสาธารณูปโภคของชาติปี 2557-2561 ซึ่งรวมถึงการลงทุนเริ่มต้น 18.2 พันล้านดอลลาร์เพื่อเสริมสร้างระบบพื้นฐานทางไฮดรอลิกของประเทศ
การเข้าถึงน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในระบบสาธารณูปโภคทางน้ำ ภายในปี 2563 ประชากร 43% สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่มีการจัดการที่ปลอดภัย และ 99% มีน้ำดื่มพื้นฐานเป็นอย่างน้อย มีชาวเม็กซิกันอีก 5.74 ล้านคนที่สามารถเข้าถึงน้ำที่มีการจัดการที่ปลอดภัยและอีก 12.1 ล้านคนที่เข้าถึงน้ำพื้นฐาน น้ำดื่มที่มีการจัดการที่ปลอดภัยหมายถึงน้ำที่ตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งหาได้เมื่อต้องการและปราศจากการปนเปื้อน โดยน้ำดื่มพื้นฐานเป็นแหล่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยจะใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 30 นาที
รายได้บางส่วนจากภาษี SSB ในปี 2557 ยังถูกใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงก๊อกสำหรับดื่มน้ำอีกด้วย
พื้นที่ในเม็กซิโกที่มีน้ำไม่เพียงพอมักมีการบริโภคน้ำอัดลมที่สูงกว่า รัฐเชียปัสทางตอนใต้กลายเป็นข่าวพาดหัวในปี 2562 หลังการศึกษาจากศูนย์วิจัยสหสาขาเชียปัสและชายแดนใต้ (Cimsur) พบว่าการบริโภคน้ำตาลของผู้อยู่อาศัยสูงถึง 821 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึงห้าเท่า
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น ชาวอเมริกันจะดื่มประมาณ 100 ลิตรต่อปี และค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 25 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งการเข้าถึงน้ำที่เพิ่มขึ้นสามารถอธิบายการบริโภคน้ำตาลที่ลดลงของปี 2563 ได้
ข้อจำกัดจาก COVID-19 นั้นมีบทบาท
แม้ว่าการวัดว่าการบริโภคน้ำตาลได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดของโควิด-19 มากน้อยแค่ไหนเป็นเรื่องที่ยาก แต่ความต้องการอาหารและเครื่องดื่มที่ลดลงในสภาพสังคมนั้นสามารถประเมินได้จากตัวเลขการจ้างงาน ซึ่งการจ้างงานในงานบริการต่างๆที่สำคัญ ที่รวมถึงการเตรียมอาหารจานด่วน พ่อครัว บาร์เทนเดอร์ และบริกรนั้นลดลงทุกเดือนและทุกปี
เมื่อเริ่มมีการระบาดในเม็กซิโกในเดือนมีนาคม 2563 จำนวนผู้นั่งรับประทานอาหารในร้านลดลงอย่างมากเช่นกัน ซึ่งลดลงเหลือศูนย์ในเดือนเมษายนเนื่องจากการล็อกดาวน์ จำนวนผู้นั่งรับประทานอาหารในร้านไม่เกินจากปี 2562 อีกจนถึงเดือนเมษายน 2564 ระดับสูงสุดที่ไปถึงในปี 2563 คือในเดือนกันยายนและตุลาคมเมื่อจำนวนผู้นั่งรับประทานอาหารในร้านอยู่ที่ประมาณ 15% ต่ำกว่าระดับของปี 2562
การบริโภคในบ้านชดเชยการลดลงของการบริโภคนอกบ้าน
ในไตรมาสแรกของปี 2563 เม็กซิโกเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่การบริโภคขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในบ้านเพิ่มขึ้นซึ่งชดเชยการบริโภคนอกบ้านที่ลดลง ตามข้อมูลของที่ปรึกษาด้านข้อมูล Kantar ในขณะที่การบริโภคนอกบ้านลดลง 10% เมื่อเทียบปีต่อปี การบริโภคในบ้านเพิ่มขึ้น 15%
จากทุกประเทศที่มีการวัดผลในการศึกษา การบริโภคในบ้านที่เพิ่มขึ้น 8% ไม่สามารถชดเชยการบริโภคนอกบ้านที่ลดลงอย่างมากถึง 26% ได้
ข้อมูลจาก Kantar แสดงให้เห็นว่าประเทศอย่างเม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะรับประทานขนมขบเคี้ยวมากกว่า โดยในประเทศเม็กซิโกสามารถเห็นได้ในทุกกลุ่มเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงสุดที่ปฏิบัติตามมาตรการล็อกดาวน์มีส่วนในการลดลงของขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 18.9% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เปรียบเทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่สุดที่ลดลงเพียง 0.3% ต่อปีเท่านั้น
แม้ว่าค่าเฉลี่ยถ่วงของระดับน้ำตาลทั้งหมดจากยอดขายที่มีการบริโภคในบ้านสำหรับผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกเมื่อเทียบกับส่วนนอกบ้านจะสูงกว่าเล็กน้อย แต่จำนวนแคลอรี่ที่บริโภคต่อหนึ่งครั้งนั้นสูงกว่าการบริโภคนอกบ้านอย่างเห็นได้ชัด การบริโภคนอกบ้านมีค่าเฉลี่ยมากกว่า 350 แคลอรีต่อส่วนเมื่อเทียบกับ 150 แคลอรีต่อส่วนสำหรับการบริโภคในบ้าน
อุตสาหกรรมน้ำตาลควรจับตาดูการพัฒนาด้านไหนบ้าง?
การบริโภคที่ลดลงน่าจะมาจากการรณรงค์ให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษี SSB ในระยะยาว แม้ว่าภาษีที่เก็บในอัตราคงที่จะถูกมองว่าอย่างแพร่หลายว่าไม่สามารถบังคับใช้ได้เมื่อกล่าวถึงการลดการบริโภคน้ำตาล แต่การรณรงค์ให้ความรู้เชิงรุกที่มาพร้อมกับภาษีดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพ นี่หมายความว่าความพยายามในอนาคตของรัฐบาลในการควบคุมการบริโภคน้ำตาลอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำตาลของเม็กซิโกมากขึ้น
มีกฎหมายใหม่หลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน้ำตาล ประการแรกคือการห้ามขายขนมที่มีน้ำตาลให้กับเด็ก ซึ่งได้มีผลบังคับใช้แล้วในบางรัฐทางตอนใต้ของประเทศ โดยในตอนนี้กำลังถูกพิจารณาในส่วนของรัฐบาลกลาง
ประการที่สองคือกฎหมายการติดฉลากฉบับใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยภาพวาดและตัวการ์ตูนแอนิเมชันที่เจาะจงไปหาเด็กๆจะถูกจำกัดภายใต้นโยบายนี้ บรรจุภัณฑ์ต้องมีฉลากเตือนสีดำขนาดใหญ่ที่ระบุว่ามีไขมัน น้ำตาล แคลอรี สารให้ความหวานและคาเฟอีนส่วนเกินรวมถึงระดับการแปรรูป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อกำหนดเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในชิลีควบคู่ไปกับข้อบังคับทางด้านอาหารอื่นๆที่มุ่งเพื่อลดการบริโภคSSB ซึ่งลดลงไปเกือบ 25% ในช่วง 18 เดือนแรก ในสหราชอาณาจักรระบบสัญญาณไฟจราจรน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การบริโภคน้ำตาลต่อหัวลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ความคิดเห็นอื่น ๆ ที่คุณอาจสนใจ…
- ปัญหาภัยแล้งของเม็กซิโกยังคงมีอยู่ในปี 2564/65
- บทความยาว: การบริโภคน้ำตาลและการปรับเปลี่ยนสูตร
- ภาษีน้ำตาล: เพิ่มขึ้นจากโควิด?
คำอธิบายที่คุณอาจสนใจ…